ข้อมูลทั่วไป

ข้อมูลทั่วไป

การพิสูจน์การดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานปกติ (Additionality) คืออะไร และทำอย่างไร

การพิสูจน์การดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานปกติ (Additionality) มีที่มาจากแนวคิดของโครงการ CDM ที่ต้องการพิสูจน์ว่าโครงการลดก๊าซเรือนกระจกจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เอง หากขาดรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต และเพื่อให้ผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตดังกล่าวมั่นใจได้ว่า รายได้ที่โครงการได้รับจากการขายคาร์เครดิตทำให้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกสามารถเกิดขึ้นได้ (Feasible)

โครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ไม่เข้าข่าย Positive List ต้องผ่านการพิสูจน์การดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานปกติ (Additionality) โดยการประเมินระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) ซึ่งต้องมีระยะเวลาคืนทุนของโครงการมากกว่า 3 ปี

ระยะเวลาการคิดคาร์บอนเครดิตมีอายุเท่าไหร่ในแต่ละประเภทโครงการ และสามารถกำหนดวันเริ่มคิดคาร์บอนเครดิตได้อย่างไร

โครงการทั่วไป กำหนดให้มีระยะเวลาการคิดคาร์บอนเครดิต 7 ปี ได้แก่
- การพัฒนาพลังงานทดแทน
- การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน
- การจัดการในภาคขนส่ง
- การจัดการของเสีย
- การเกษตร
- อื่นๆ ที่ อบก.กำหนดเพิ่มเติม

โครงการป่าไม้ กำหนดให้มีระยะเวลาการคิดคาร์บอนเครดิต 10 ปี ได้แก่
- ปลูกต้นไม้/ปลูกป่า
- ฟื้นฟูและดูแลรักษาป่า

การกำหนดวันเริ่มคิดคาร์บอนเครดิต แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะดังนี้

สำหรับโครงการที่เริ่มดำเนินการแล้ว
สามารถกำหนดวันเริ่มคิดเครดิตย้อนหลังได้ แต่ไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่จัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการฉบับสุดท้ายแล้วเสร็จ และผ่านการตรวจสอบความใช้ได้

สำหรับโครงการที่ยังไม่เริ่มดำเนินโครงการ
สามารถกำหนดวันเริ่มคิดเครดิตได้ภายใน 2 ปี นับจากวันที่จัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการฉบับสุดท้ายแล้วเสร็จ และผ่านการตรวจสอบความใช้ได้

โครงการ T-VER คือ อะไร

คือ โครงการคาร์บอนเครดิตของประเทศไทย หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) หรือ เรียกย่อๆ ว่า โครงการ T-VER

“คาร์บอนเครดิต” จากโครงการ T-VER คืออะไร

คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด/กักเก็บคำนวณได้จากการดำเนิน โครงการ T-VER และได้รับการรับรองจาก อบก. มีหน่วยเป็น “ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq)” สามารถนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ ซื้อ-ขาย ในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจได้

กิจกรรมอะไรบ้าง ที่สามารถเข้าร่วมโครงการ T-VER ได้

กิจกรรมที่สามารถเข้าร่วมการดำเนินโครงการ T-VER มีรายละเอียดนี้

1. พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานที่ใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล

2. การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าและการผลิตความร้อน

3. การใช้ระบบขนส่งสาธารณะ

4. การใช้ยานพาหนะไฟฟ้า

5. การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์

6. การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารและโรงงาน และในครัวเรือน

7. การปรับเปลี่ยนสารทำความเย็นธรรมชาติ

8. การใช้วัสดุทดแทนปูนเม็ด

9. การจัดการขยะมูลฝอย

10. การจัดการน้ำเสียชุมชน

11. การนำก๊าซมีเทนกลับมาใช้ประโยชน์

12. การจัดการน้ำเสียอุตสาหกรรม

13. การลด ดูดซับ และการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และการเกษตร

14. การดักจับ กักเก็บ และ/หรือ การใช้ประโยชน์จากก๊าซเรือนกระจก

15. โครงการประเภทอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการ อบก. จะกำหนดเพิ่มเติม โดยมรเหตุผลทางหลักวิชาการสนับสนุน

หากสนใจทำโครงการคาร์บอนเครดิต สิ่งที่ต้องคำนึงถึงมีอะไรบ้าง

กิจกรรมที่ดำเนินการ เข้าข่ายกับกิจกรรมที่ อบก. กำหนดไว้ หรือไม่
วัตถุประสงค์ของการนำคาร์บอนเครดิตไปใช้ประโยชน์
ศักยภาพกิจกรรมการลด/กักเก็บก๊าซเรือนกระจก และความเหมาะสมเชิงพื้นที่ เพื่อประเมินปริมาณคาร์บอนเครดิตที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการ
ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการ

ผู้พัฒนาโครงการ และ เจ้าของโครงการ คือใคร ต่างกันอย่างไร

ผู้พัฒนาโครงการ คือ บุคคล กลุ่มบุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคล ที่จดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการตามขั้นตอนการพัฒนาโครงการ T-VER เช่น จัดทำเอกสารประกอบการขอขึ้นทะเบียนโครงการ จัดทำเอกสารประกอบการขอรับรองคาร์บอนเครดิต เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้พัฒนาโครงการอาจเป็นเจ้าของโครงการด้วยก็ได้

เจ้าของโครงการ คือ บุคคล หรือนิติบุคคล ที่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของโครงการ เช่น โรงงาน เครื่องจักร ที่ดิน เป็นต้น ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในคาร์บอนเครดิต ทั้งนี้ กรณีผู้พัฒนาโครงการกับเจ้าของโครงการเป็นคนละรายกัน สามารถทำสัญญาตกลงกรรมสิทธิ์ในคาร์บอนเครดิตกับผู้พัฒนาโครงการได้

ผู้พัฒนาโครงการ และเจ้าของโครงการ เป็นคนละรายกันได้หรือไม่

ผู้พัฒนาโครงการ และเจ้าของโครงการ สามารถเป็นคนละรายกันได้หรือไม่ โดยผู้พัฒนาโครงการจะต้องได้รับสิทธิ์/ความยินยอมจากเจ้าของโครงการให้ดำเนินโครงการ T-VER และทั้งสองฝ่ายสามารถทำสัญญาแบ่งปันคาร์บอนเครดิตกันได้

เงื่อนไขการพัฒนาเป็นโครงการ T-VER พิจารณาอะไรบ้าง

โครงการใดที่ประสงค์จะพัฒนาเป็นโครงการ T-VER ต้องเป็นกิจกรรมที่
ยังไม่เริ่มดำเนินการ หรือ
เป็นกิจกรรมที่มีวันเริ่มดำเนินโครงการและก่อให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจกย้อนหลังไม่เกิน 3 ปี (สามปี) นับจากวันที่ของเอกสารข้อเสนอโครงการ (Project Design Document: PDD) ฉบับสุดท้ายที่ผ่านการตรวจสอบความใช้ได้ ยกเว้นโครงการประเภทการลด ดูดซับ และการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และการเกษตร
เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการเพิ่มเติมจากที่กฎหมายกำหนด
ต้องมีการแสดงหรือพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นกิจกรรมที่มีการดำเนินการเพิ่มเติมจากการดำเนินงานตามปกติ (Additionality)
โครงการไม่ขึ้นทะเบียนภายใต้มาตรฐานการลดก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ
รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้จาก ระเบียบวิธีการคำนวณที่ อบก. ประกาศในเวปไซต์

การพิสูจน์การดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานปกติ (Additionality) คืออะไร

การพิสูจน์การดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานปกติ (Additionality) เป็นการพิสูจน์ว่าโครงการลดก๊าซเรือนกระจกจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เอง หากขาดรายได้ส่วนเพิ่มจากการขายคาร์บอนเครดิต
โครงการ Standard T-VER ที่ต้องพิสูจน์ Additionality คือ โครงการขนาดใหญ่ที่ไม่เข้าข่าย Positive List ตามที่ อบก. กำหนด โดยการประเมินระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) ต้องมีระยะเวลาคืนทุนของโครงการมากกว่า 3 ปี จึงจะสามารถพัฒนาเป็นโครงการ T-VER ได้