การพิสูจน์การดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานปกติ (Additionality) มีที่มาจากแนวคิดของโครงการ CDM ที่ต้องการพิสูจน์ว่าโครงการลดก๊าซเรือนกระจกจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เอง หากขาดรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิต และเพื่อให้ผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตดังกล่าวมั่นใจได้ว่า รายได้ที่โครงการได้รับจากการขายคาร์เครดิตทำให้โครงการลดก๊าซเรือนกระจกสามารถเกิดขึ้นได้ (Feasible)
โครงการลดก๊าซเรือนกระจกที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ไม่เข้าข่าย Positive List ต้องผ่านการพิสูจน์การดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานปกติ (Additionality) โดยการประเมินระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) ซึ่งต้องมีระยะเวลาคืนทุนของโครงการมากกว่า 3 ปี
โครงการทั่วไป กำหนดให้มีระยะเวลาการคิดคาร์บอนเครดิต 7 ปี ได้แก่
- การพัฒนาพลังงานทดแทน
- การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน
- การจัดการในภาคขนส่ง
- การจัดการของเสีย
- การเกษตร
- อื่นๆ ที่ อบก.กำหนดเพิ่มเติม
โครงการป่าไม้ กำหนดให้มีระยะเวลาการคิดคาร์บอนเครดิต 10 ปี ได้แก่
- ปลูกต้นไม้/ปลูกป่า
- ฟื้นฟูและดูแลรักษาป่า
การกำหนดวันเริ่มคิดคาร์บอนเครดิต แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะดังนี้
สำหรับโครงการที่เริ่มดำเนินการแล้ว
สามารถกำหนดวันเริ่มคิดเครดิตย้อนหลังได้ แต่ไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่จัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการฉบับสุดท้ายแล้วเสร็จ และผ่านการตรวจสอบความใช้ได้
สำหรับโครงการที่ยังไม่เริ่มดำเนินโครงการ
สามารถกำหนดวันเริ่มคิดเครดิตได้ภายใน 2 ปี นับจากวันที่จัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการฉบับสุดท้ายแล้วเสร็จ และผ่านการตรวจสอบความใช้ได้
คือ โครงการคาร์บอนเครดิตของประเทศไทย หรือมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) หรือ เรียกย่อๆ ว่า โครงการ T-VER
คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด/กักเก็บคำนวณได้จากการดำเนิน โครงการ T-VER และได้รับการรับรองจาก อบก. มีหน่วยเป็น “ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO2eq)” สามารถนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือ ซื้อ-ขาย ในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจได้
กิจกรรมที่สามารถเข้าร่วมการดำเนินโครงการ T-VER มีรายละเอียดนี้
1. พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานที่ใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล
2. การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าและการผลิตความร้อน
3. การใช้ระบบขนส่งสาธารณะ
4. การใช้ยานพาหนะไฟฟ้า
5. การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์
6. การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคารและโรงงาน และในครัวเรือน
7. การปรับเปลี่ยนสารทำความเย็นธรรมชาติ
8. การใช้วัสดุทดแทนปูนเม็ด
9. การจัดการขยะมูลฝอย
10. การจัดการน้ำเสียชุมชน
11. การนำก๊าซมีเทนกลับมาใช้ประโยชน์
12. การจัดการน้ำเสียอุตสาหกรรม
13. การลด ดูดซับ และการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และการเกษตร
14. การดักจับ กักเก็บ และ/หรือ การใช้ประโยชน์จากก๊าซเรือนกระจก
15. โครงการประเภทอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการ อบก. จะกำหนดเพิ่มเติม โดยมรเหตุผลทางหลักวิชาการสนับสนุน
กิจกรรมที่ดำเนินการ เข้าข่ายกับกิจกรรมที่ อบก. กำหนดไว้ หรือไม่
วัตถุประสงค์ของการนำคาร์บอนเครดิตไปใช้ประโยชน์
ศักยภาพกิจกรรมการลด/กักเก็บก๊าซเรือนกระจก และความเหมาะสมเชิงพื้นที่ เพื่อประเมินปริมาณคาร์บอนเครดิตที่จะได้รับจากการดำเนินโครงการ
ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการ
ผู้พัฒนาโครงการ คือ บุคคล กลุ่มบุคคล คณะบุคคล หรือนิติบุคคล ที่จดทะเบียนในประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ดำเนินการตามขั้นตอนการพัฒนาโครงการ T-VER เช่น จัดทำเอกสารประกอบการขอขึ้นทะเบียนโครงการ จัดทำเอกสารประกอบการขอรับรองคาร์บอนเครดิต เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้พัฒนาโครงการอาจเป็นเจ้าของโครงการด้วยก็ได้
เจ้าของโครงการ คือ บุคคล หรือนิติบุคคล ที่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของโครงการ เช่น โรงงาน เครื่องจักร ที่ดิน เป็นต้น ซึ่งจะเป็นผู้ที่มีกรรมสิทธิ์ในคาร์บอนเครดิต ทั้งนี้ กรณีผู้พัฒนาโครงการกับเจ้าของโครงการเป็นคนละรายกัน สามารถทำสัญญาตกลงกรรมสิทธิ์ในคาร์บอนเครดิตกับผู้พัฒนาโครงการได้
ผู้พัฒนาโครงการ และเจ้าของโครงการ สามารถเป็นคนละรายกันได้หรือไม่ โดยผู้พัฒนาโครงการจะต้องได้รับสิทธิ์/ความยินยอมจากเจ้าของโครงการให้ดำเนินโครงการ T-VER และทั้งสองฝ่ายสามารถทำสัญญาแบ่งปันคาร์บอนเครดิตกันได้
โครงการใดที่ประสงค์จะพัฒนาเป็นโครงการ T-VER ต้องเป็นกิจกรรมที่
ยังไม่เริ่มดำเนินการ หรือ
เป็นกิจกรรมที่มีวันเริ่มดำเนินโครงการและก่อให้เกิดการลดก๊าซเรือนกระจกย้อนหลังไม่เกิน 3 ปี (สามปี) นับจากวันที่ของเอกสารข้อเสนอโครงการ (Project Design Document: PDD) ฉบับสุดท้ายที่ผ่านการตรวจสอบความใช้ได้ ยกเว้นโครงการประเภทการลด ดูดซับ และการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกจากภาคป่าไม้และการเกษตร
เป็นกิจกรรมที่ดำเนินการเพิ่มเติมจากที่กฎหมายกำหนด
ต้องมีการแสดงหรือพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นกิจกรรมที่มีการดำเนินการเพิ่มเติมจากการดำเนินงานตามปกติ (Additionality)
โครงการไม่ขึ้นทะเบียนภายใต้มาตรฐานการลดก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ
รายละเอียดเพิ่มเติมดูได้จาก ระเบียบวิธีการคำนวณที่ อบก. ประกาศในเวปไซต์
การพิสูจน์การดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานปกติ (Additionality) เป็นการพิสูจน์ว่าโครงการลดก๊าซเรือนกระจกจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เอง หากขาดรายได้ส่วนเพิ่มจากการขายคาร์บอนเครดิต
โครงการ Standard T-VER ที่ต้องพิสูจน์ Additionality คือ โครงการขนาดใหญ่ที่ไม่เข้าข่าย Positive List ตามที่ อบก. กำหนด โดยการประเมินระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) ต้องมีระยะเวลาคืนทุนของโครงการมากกว่า 3 ปี จึงจะสามารถพัฒนาเป็นโครงการ T-VER ได้
สามารถดำเนินโครงการ T-VER ที่มีที่ตั้งหลายแห่งได้ โดยสามารถขึ้นทะเบียนเป็นโครงการแบบควบรวม หรือแบบแผนงาน ตามรูปแบบการพัฒนาโครงการที่ อบก. กำหนด
พื้นที่ขั้นต่ำจำนวน 10 ไร่ โดยสามารถรวมหลายพื้นที่เข้าด้วยกันได้
ค่าใช้จ่ายหลักมี 2 ส่วน คือ
1. ค่าตรวจสอบความใช้ได้ และ/หรือค่าทวนสอบเพื่อขอรับรองคาร์บอนเครดิตที่จ่ายให้กับ VVB
2. ค่าธรรมเนียมในการดำเนินงานของ อบก.
คือ ผู้ประเมินภายนอกสำหรับโครงการภาคสมัครใจ (Validation and Verification Body: VVB) ต้องเป็นนิติบุคคลที่ได้รับการรับรองระบบงานจาก สมอ. และต้องได้รับการขึ้นทะเบียนจากคณะกรรมการ อบก. ให้เป็นผู้ประเมินภายนอกสำหรับโครงการภาคสมัครใจตามระเบียบที่คณะกรรมการ อบก. กำหนด
1. การซื้อขายแบบตกลงกันระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขาย (Over the counter: OTC)
2. การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของสภาอุตสาหกรรม (FTIX)* อยู่ในระหว่างการปับปรุง
การพัฒนาโครงการ T-VER อ้างอิงมาตรฐาน ISO 14064-2: 2019 และมีการตรวจสอบความใช้ได้ และทวนสอบโดยผู้ประเมินภายนอกสำหรับโครงการภาคสมัครใจ (Validation and Verification Body:VVB) ซึ่งดำเนินการตามมาตรฐาน ISO 14064-3: 2019 ซึ่งเป็นมาตฐานที่สากลให้การยอมรับ
คาร์บอนเครดิตไม่มีราคากลาง ราคาการซื้อ-ขายคาร์ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขายที่จะสามารถเจรจาตกลงตกลงกันได้
- กรณีที่ขายให้กับบริษัทต่างประเทศที่นำไปใช้ในการชดเชยคาร์บอนภาคสมัครใจสามารถดำเนินการได้
- กรณีที่ต้องการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างประเทศ ต้องได้รับ “หนังสืออนุญาตการใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อวัตถุประสงค์ระหว่างต่างประเทศ (Letter of Authorization)” จากสำนักงานนโนบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก่อน โดยดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://climate.onep.go.th/
คาร์บอนเครดิตที่ผ่านการรับรองโดยคณะกรรมการ อบก. แล้ว จะไม่มีวันหมดอายุ
ขอรับรอง REC ได้ แต่ช่วงเวลาที่ขอการรับรองจะต้องไม่ซ้ำกับช่วงเวลาที่ขอการรับรองคาร์บอนเครดิต (ห้ามนับซ้ำ)
ทำได้ โดยผู้พัฒนาโครงการดำเนินการตามเงื่อนไขแจ้งการเปลี่ยนแปลงที่ อบก. กำหนด ทั้งนี้ ต้องมีการแจ้งการเปลี่ยนแปลงไปยัง อบก. ก่อนขอการรับรองคาร์บอนเครดิต
ได้ กรณีเป็นนิติบุคคลต่างด้าวต้องได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว
สามารถศึกษาหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
https://ghgreduction.tgo.or.th/th/t-ver.html
การตรวจสอบความถูกต้องของโครงการ โดยบุคคลที่สาม หรือเรียกว่าผู้ประเมินภายนอกที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจาก อบก. ก่อนส่งเอกสารเพื่อให้ อบก. พิจารณา
เมื่อ อบก. ได้รับครบถ้วน ถูกต้องแล้ว อบก. ใช้เวลา 60 วันทำการ ในการพิจารณา
กำหนดระยะเวลาคิดเครดิตหรืออายุโครงการตามรูปแบบการพัฒนาโครงการ และตามประเภทของกิจกรรมโครงการ ดังนี้
ประเภทโครงการ
ระยะเวลาคิดเครดิตของโครงการเดี่ยวและโครงการแบบควบรวม และกลุ่มโครงการย่อยภายใต้โครงการแบบแผนงาน (ปี)
อายุของกรอบแผนงาน
(ปี)
โครงการประเภทที่ 1-12, 14
7
(ต่ออายุได้ 1 ครั้ง)
14
โครงการประเภทที่ 13
(เฉพาะโครงการภาคเกษตร)
7
(ต่ออายุได้ครั้งละ 7 ปี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง)
14
โครงการประเภทที่ 13
10
(ต่ออายุได้ครั้งละ 10 ปี ไม่จำกัดจำนวนครั้ง)
เว้นกรณีที่ระเบียบวิธีลดก๊าซเรือนกระจกกำหนดระยะเวลาคิดเครดิตไว้ ให้ใช้ตามที่ระเบียบวิธีฯ กำหนด
20
ไม่จำเป็นต้องขอทุกปี ผู้พัฒนาโครงการสามารถขอรับรองคาร์บอนเครดิตได้ตามความต้องการตลอดระยะเวลาคิดเครดิตของโครงการ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความต้องการใช้ประโยชน์จากคาร์บอนเครดิต หรือ ความคุ้มค่าของการดำเนินงานเพื่อขอรับรองคาร์บอนเครดิตในแต่ละครั้ง ซึ่งผู้พัฒนาโครงการเป็นผู้ตัดสินใจ
ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลดหรือกักเก็บได้เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีฐาน ประเมินโดยใช้ระเบียบวิธีที่ อบก. กำหนด
กรณีฐาน (Baseline) คือ ปริมาณการปล่อยหรือกักเก็บก๊าซเรือนกระจกก่อนดำเนินโครงการลด หรือ ก่อนการเข้าร่วมโครงการ
ผู้พัฒนาโครงการสามารถเสนอระเบียบวิธีการคำนวณไปยัง อบก. เพื่อพิจารณาเห็นชอบ และประกาศใช้
ไม้ยืนต้น (Tree) ที่มีเนื้อไม้ มีอายุยืนยาวหลายปี สืบค้นได้จาก https://www.dnp.go.th/botany/dictindex.html ที่ระบุในรายละเอียดว่าเป็น ไม้ยืนต้น หรือ ไม้ต้น
ได้ โดยต้องมีการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่เพื่อใช้กำหนดเป็นค่ากรณีฐาน ณ วันขึ้นทะเบียน และคาร์บอนเครดิตที่จะได้รับคือปริมาณการกักเก็บที่เพิ่มพูนจากกรณีฐานเท่านั้น
ได้ โดยผู้พัฒนาโครงการต้องเสนอเทคโนโลยีดังกล่าวให้ อบก. เพื่อพิจารณาเห็นชอบ และประกาศใช้ก่อนจึงจะสามารถนำไปใช้ได้
ได้ โดยใช้ระเบียบวิธีการคำนวณสำหรับโครงการภาคเกษตร
ได้ แต่ต้องเป็นการดำเนินงานภายใต้ขอบเขตโครงการ และเป็นกิจกรรมที่ต่อเนื่องกัน เช่น การรวบรวมก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียเพื่อผลิตไฟฟ้า
ผู้พัฒนาโครงการตรวจสอบว่ากิจกรรมโครงการเข้าข่ายประเภทโครงการที่ อบก. กำหนดและเป็นไปตามข้อกำหนด หลังจากนั้นผู้พัฒนาโครงการต้องส่งเอกสารแจ้งความประสงค์ในการพัฒนาโครงการ T-VER (Modality of communication: MoC) ไปยัง อบก. ก่อนเริ่มดำเนินโครงการ
นับวันถัดไปหลังจากวันที่ขึ้นทะเบียนโครงการ โดย อบก. จะแจ้งวันที่ได้รับการขึ้นทะเบียนในหนังสือแจ้งผลการพิจารณาขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER
ยกเว้น โครงการประเภทที่ 13 เป็นวันเดียวกับวันที่เริ่มดำเนินโครงการ
โครงการ Premium T-VER ต้องมีการดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานตามปกติ (Additionality) โดยผู้พัฒนาโครงการพิสูจน์ตามแนวทางที่ อบก. กำหนด ดังนี้
1. เป็นโครงการที่ใช้เทคโนโลยีที่เข้าข่ายโครงการลดก๊าซเรือนกระจกไม่ต้องพิสูจน์ส่วนเพิ่มเติม (Technology Positive List)
2. ผ่านการพิสูจน์การดำเนินงานเพิ่มจากการดำเนินงานตามปกติ (Additionality) ได้แก่ การวิเคราะห์อุปสรรค การวิเคราะห์การลงทุน และการวิเคราะห์แนวปฏิบัติทั่วไป
โดยดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://ghgreduction.tgo.or.th/th/about-premium-t-ver/positive-list-and-additionality.html
กำหนดระยะเวลาคิดเครดิตหรืออายุโครงการตามประเภทของกิจกรรมโครงการ ดังนี้
ประเภทโครงการ
ระยะเวลาคิดเครดิตของโครงการเดี่ยวและโครงการแบบควบรวม และกลุ่มโครงการย่อยภายใต้โครงการแบบแผนงาน (ปี)
อายุของกรอบแผนงาน
(ปี)
ประเภทที่ 1-12 และประเภทที่ 13 (เฉพาะกิจกรรมลดก๊าซมีเทนหรือไนตรัส-ออกไซด์จากการเกษตร)
5
(ต่ออายุได้ 2 ครั้ง)
20
ประเภทที่ 13-14
15
(ต่ออายุได้ 2 ครั้ง)
เว้นกรณีที่ระเบียบวิธีลดก๊าซเรือนกระจกกำหนดระยะเวลาคิดเครดิตไว้ ให้ใช้ตามที่ระเบียบวิธีฯ กำหนด
ค่าใช้จ่ายหลักมี 2 ส่วน คือ
1. ค่าตรวจสอบความใช้ได้ และ/หรือค่าทวนสอบเพื่อขอรับรองคาร์บอนเครดิตที่จ่ายให้กับ VVB
2. ค่าธรรมเนียมในการดำเนินงานของ อบก.
VVB คือ ผู้ประเมินภายนอกสำหรับโครงการภาคสมัครใจ (Validation and Verification Body: VVB) ต้องเป็นนิติบุคคลที่ได้รับการรับรองระบบงานจาก สมอ. และผ่านการอบรมหลักสูตรจาก อบก. โดยต้องได้รับการขึ้นทะเบียนจากคณะกรรมการ อบก. ให้เป็นผู้ประเมินภายนอกสำหรับโครงการภาคสมัครใจตามระเบียบที่คณะกรรมการ อบก. กำหนด
ภายหลังจากที่ผู้พัฒนาโครงการจัดส่งเอกสารประกอบคำขอขึ้นทะเบียนโครงการ หรือขอการรับรองคาร์บอนเครดิตถูกต้องและครบถ้วน อบก. ใช้เวลา 60 วันทำการ ในการพิจารณาผล
1. การซื้อขายแบบตกลงกันระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขาย (Over the counter: OTC)
2. การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของสภาอุตสาหกรรม (FTIX)
ไม่ได้
วิธีการประเมินโครงการ Premium T-VER จะแตกต่างจาก Standard T-VER โดย Premium T-VER มีการกำหนดค่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกรณีฐานต่ำกว่าการดำเนินงานตามปกติ หรือ เข้มข้นมากกว่าเดิม (below business-as-usual)
วิธีการประเมินมวลชีวภาพในต้นไม้จะเหมือนกัน แต่มีความแตกต่างเกี่ยวกับจำนวนแปลงตัวอย่าง และมีการประเมินค่าความไม่แน่นอน (uncertianty)
ไม่ได้ สภาพพื้นที่โครงการที่เข้าร่วมโครงการปลูกป่า ฟื้นฟูป่านั้นต้องมีสภาพพื้นที่ไม่เข้าข่ายเป็นป่า และต้องยังไม่มีการดำเนินกิจกรรมปลูกต้นไม้ในพื้นที่มาก่อน
ได้หากเข้าข่ายเงื่อนไขตามที่ระเบียบวิธีฯ กำหนด เช่น สภาพพื้นที่เป็นป่าเสื่อมโทรม และมีแนวโน้มเป็นป่าเสื่อมโทรม